น้ำผลไม้ VS น้ำอัดลม ใครเป็นพระเอก ใครเป็นตัวร้าย?

น้ำผลไม้เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าดีต่อสุขภาพและดีกว่าน้ำอัดลม หน่วยงานด้านสุขภาพหลายแห่งออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ สนับสนุนให้ประชาชนลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และหลายประเทศได้ดำเนินมาตรการภาษีน้ำอัดลม แต่ก็มีผู้โต้แย้งว่าน้ำผลไม้นั้นไม่ดีต่อสุขภาพอย่างที่ควรจะเป็น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณเช่นเดียวกับน้ำอัดลม

ทั้งสองอย่างมีน้ำตาลสูงมาก

หนึ่งในเหตุผลหลักที่บางคนคิดว่าน้ำผลไม้ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นเดียวกับน้ำอัดลม ก็คือปริมาณน้ำตาลของเครื่องดื่มเหล่านี้ ทั้งน้ำอัดลมและน้ำผลไม้ 100% ให้พลังงานประมาณ 110 แคลอรี่ และน้ำตาลถึง 20–26 กรัมต่อถ้วย (240 มล.)

งานวิจัยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการเจ็บป่วย เช่นโรคเบาหวานประเภท 2  โรคเมตาบอลิซึม ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ รวมถึงความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลใกล้เคียงกัน บางคนเริ่มจัดกลุ่มน้ำผลไม้และน้ำอัดลมเข้าด้วยกัน และแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงในระดับที่เท่ากัน อย่างไรก็ตามน้ำอัดลมและน้ำผลไม้ไม่น่าจะส่งผลต่อสุขภาพของคุณในทางเดียวกันได้

ตัวอย่างเช่น น้ำอัดลมมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคในลักษณะที่ขึ้นกับปริมาณ นั่นหมายความว่ายิ่งคุณดื่มมากเท่าไหร่ความเสี่ยงของการเป็นโรคก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าคุณจะดื่มในปริมาณเล็กน้อยก็ตาม

ในทางกลับกันการดื่มน้ำผลไม้ปริมาณเล็กน้อย โดยเฉพาะน้อยกว่า 5 ออนซ์ (150 มล.) ต่อวัน อาจลดความเสี่ยงของเงื่อนไข เช่นโรคเบาหวานประเภท 2 และโรคหัวใจ ดูเหมือนว่าการบริโภคที่มากขึ้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ ทั้งนี้ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำผลไม้นั้นใช้ได้กับน้ำผลไม้ 100% เท่านั้น ไม่ใช่เครื่องดื่มผลไม้ที่มีรสหวาน

สรุป

น้ำผลไม้และน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลใกล้เคียงกัน แต่น้ำอัดลมอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณโดยไม่คำนึงถึงปริมาณที่คุณบริโภค ในขณะที่น้ำผลไม้อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเมื่อดื่มในปริมาณมาก



ทั้งสองอย่างอาจนำไปสู่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

น้ำผลไม้และน้ำอัดลมอาจเพิ่มความเสี่ยงของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะทั้งคู่อุดมไปด้วยแคลอรี่ แต่มีใยอาหารต่ำ เป็นสารอาหารที่ช่วยลดความหิวและทำให้รู้สึกอิ่ม

ดังนั้นแคลอรี่ที่บริโภคจากน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้จึงไม่น่าจะทำให้คุณอิ่มได้มากเท่ากับปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคจากอาหารที่อุดมด้วยใยอาหาร ในปริมาณน้ำตาลเท่ากันอย่างผลไม้

นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่เกินความต้องการ อาจเพิ่มความเสี่ยงของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ชดเชยการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีเหล่านี้ด้วยการลดแคลอรี่จากอาหารอื่น เว้นแต่พวกเขาจะใช้ความพยายามอย่างมีสติ

น้ำผลไม้และน้ำอัดลมอุดมไปด้วยแคลอรี่ แต่มีใยอาหารต่ำ ทำให้เป็นวิธีที่ไม่สามารถช่วยลดความหิวได้ และยังอาจนำไปสู่การบริโภคแคลอรี่ส่วนเกินได้อีกด้วย


น้ำผลไม้อุดมไปด้วยสารอาหาร

น้ำผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบที่เป็นประโยชน์ที่น้ำอัดลมไม่มี โดยน้ำผลไม้ 1/2 ถ้วยตวง (120 มล.) อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุเกือบทุกชนิด รวมถึงเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบี เช่นเดียวกับปริมาณที่พบในผลไม้สด

โปรดจำไว้ว่าสารอาหารหลายอย่างลดลงตามเวลา ดังนั้นน้ำผลไม้คั้นสดใหม่อาจมีวิตามินและแร่ธาตุสูงกว่า

น้ำผลไม้ก็มีสารจากพืชที่มีประโยชน์ เช่น แคโรทีนอยด์ โพลีฟีนอล และฟลาโวนอยด์ ซึ่งสามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ สิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมน้ำผลไม้หลายชนิดเชื่อมโยงกับประโยชน์ด้านสุขภาพ ตั้งแต่ภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น และการทำงานของสมอง ไปจนถึงการอักเสบที่ลดลง ความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอล LDL ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อบริโภคน้ำผลไม้ในปริมาณ 5 ออนซ์ (150 มล.) ต่อวัน

สรุป

น้ำผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบพืชที่เป็นประโยชน์ที่น้ำอัดลมไม่มี และการดื่มน้ำผลไม้จำนวนเล็กน้อยเป็นประจำนั้นจะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับร่างกายได้


น้ำผลไม้และน้ำอัดลมมีความคล้ายคลึงกันในบางด้าน เมื่อบริโภคในปริมาณมาก ทั้งคู่นำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคอ้วน และการเจ็บป่วย เช่น โรคเบาหวานประเภท 2 และโรคหัวใจได้ไม่ต่างกัน แต่ความแตกต่างของเครื่องดื่มทั้งสองคือ น้ำผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบจากพืชที่มีประโยชน์มากมายที่ช่วยปกป้องคุณจากโรค ดังนั้นเมื่อบริโภคในปริมาณน้อย น้ำผลไม้จึงถือเป็นผู้ชนะในกรณีนี้

ที่มา healthline

(2573)