มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์อันน่าทึ่งที่รัฐนอร์ทดาโคตา ประเทศสหรัฐอเมริกา จากการวิเคราะห์ดูเหมือนว่าการค้นพบฟอสซิลนี้จะเป็นการบันทึกเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของไดโนเสาร์เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว โดยซากดึกดำบรรพ์นี้เป็นสัตว์ที่ถูกฆ่าตายจากดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนมายังโลก
“ฉันไม่เคยเห็นฟอสซิลแบบนี้มาก่อน” ฟิล แมนนิ่ง นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสมาชิกของทีมที่กำลังศึกษาฟอสซิลกล่าว “คุณเกือบจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้นผ่านซากดึกดำบรรพ์” การค้นพบนี้เผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยนิตยสาร New Yorker สิ่งนี้ทำให้นักบรรพชีวินวิทยาหลายคนประหลาดและสงสัย อย่างไรก็ตามมีการตีพิมพ์บทความในวารสารของ National Academy of Sciences (PNAS) และนักวิจัยก็ให้ความสนใจและแสดงความกระตือรือร้นกับการค้นพบครั้งนี้
การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 66 ล้านปีก่อนได้กำจัดเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ไปจำนวนมาก ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินได้ว่ามันกำจัดไดโนเสาร์ ซึ่งในความเป็นจริงความเชื่อนี้ก็ไม่ถูกสักทีเดียว เพราะนกก็เป็นไดโนเสาร์อีกชนิดหนึ่งเช่นกันและพวกมันก็ยังอยู่รอบ ๆ ตัวเราในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในการสุญพันธุ์ครั้งนั้นไม่มีไดโนเสาร์ใดยกเว้นนกรอดชีวิตมาได้ ซึ่งการสูญพันธุ์ครั้งนี้ทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเจริญรุ่งเรือง และนำไปสู่การวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จนกระทั่งกลายมาเป็นมนุษย์
ซึ่งสาเหตุหลักในการสุญพันธุ์ครั้งนั้นจากการวิเคราะห์คาดว่าเป็นอุกกาบาตชิกซูลุบ (Chicxulub) ดาวเคราะห์น้อยที่กว้าง 10 กิโลเมตร กระแทกกับพื้นผิวโลกที่ตอนนี้คือคาบสมุทร Yucatan ในประเทศเม็กซิโก การระเบิดที่เกิดขึ้นในทันทีนั้นมีพลังทำลายล้างมหาศาล ซึ่งนำไปสู่สภาพอากาศที่หนาวเย็นเป็นเวลาหลายปีเพราะฝุ่นละอองจำนวนมากลอยขึ้นไปในอากาศและกันแสงแดด อย่างไรก็ตามยังมีทฤษฎีการปะทุของภูเขาไฟขนาดใหญ่ในอินเดีย ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์อยู่อีกด้วย
ผลกระทบของการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยจะเกิดการสั่นสะเทือนอันทรงพลังทำให้เกิดแผ่นดินไหวและน้ำท่วมอย่างกว้างขวาง ซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบยังคงเป็นที่ถกเถียงเรื่องที่ตั้งของแม่น้ำซึ่งเกิดจากน้ำท่วมฉับพลันเมื่อน้ำพุ่งเข้าฝั่ง เพราะฟอสซิลที่ค้นพบนั้นมีส่วนผสมของโคลนและทรายที่มีการทับถมของฟอสซิลปลาและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยคาดว่าเกิดจากแรงอัดกระแทกที่เกิดจากการถูกน้ำพัดขึ้นมาในครั้งเดียวดู
ซากดึกดำบรรพ์นี้ได้รับการตรวจสอบครั้งแรกโดยนักบรรพชีวินวิทยา Robert DePalma จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติปาล์มบีช ในรัฐฟลอริด้า ปี 2012 การตรวจสอบดำเนินงานเป็นเวลาหลายปีจนในที่สุด DePalma และคณะก็มี รายงานการวิเคราะห์ฟอสซิลชิ้นนี้ตามที่กล่าวไปในข้างต้น
ในทางทฤษฎีเป็นไปได้ว่าซากดึกดำบรรพ์นี้อาจไม่มีจุดเชื่อมโยงกับผลกระทบของ Chicxulub แต่ก็มีหลักฐานหลายอย่างที่อาจเชื่อมโยงผลกระทบของดาวเคราะห์น้อย เนื่องจากพบอุลกมณี(ทรายบนโลกที่ถูกหลอมละลายด้วยความร้อนจากการพุ่งชนของอุกกาบาต)ชิ้นหนาจำนวนมาก ซึ่งตรงกับอุกกาบาต Chicxulub และยังมีซากฟอสซิลปลาจำนวนมากที่พบเศษอุลกมณีในเหงือก
“การตีความทางธรณีวิทยาดูน่าเชื่อถือมากสำหรับฉันและซากดึกดำบรรพ์ของปลาอาจจะเป็นการบันทึกเหตุการณ์หายนะครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ กับพื้นที่ที่ดาวเคราะห์น้อยตกกระทบ” สตีเฟ่น บรูตัส จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ในสหราชอาณาจักรกล่าว “ฉันตื่นเต้นมากกับการค้นพบนี้”
หนึ่งในข้อร้องเรียนของ Brusatte คือในรายงานการวิจัยไม่ได้อธิบายซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ใด ๆ ในขณะที่วารสารของ New Yorker บอกเป็นนัย ๆ ว่าซากดึกดำบรรพ์นั้นเป็น “สุสานไดโนเสาร์” ที่มีกระดูก ขนนก และไข่ รวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมนนิ่งกล่าวว่าบทความนี้มุ่งเน้นไปที่การเชื่อมโยงระหว่างซากฟอสซิลและผลกระทบของดาวเคราะห์น้อย ส่วนคำอธิบายของฟอสซิลนั้นจะตามมาทีหลัง ไม่กี่ปีข้างหน้าซากฟอสซอลในรัฐนอร์ทดาโคตา จะสามารถเสริมความเข้าใจในเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกได้
(8557)