ในปี 1862 ชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโบราณวัตถุของชาวอียิปต์โบราณชื่อ เอ็ดวิน สมิธ ซื้อกระดาษปาปิรัสม้วนเก่าแก่จากพ่อค้าชาวอียิปต์ โดยที่เขาไม่รู้วิธีอ่านเพียงแต่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญและมีค่า เขาเก็บกระดาษปาปิรัสม้วนเอาไว้จนกระทั่งเขาตายในปี 2449 ลูกสาวของเขาจึงบริจาคม้วนกระดาษนี้ให้กับสมาคมประวัติศาสตร์นิวยอร์ก และกลายเป็นเอกสารที่มีความสำคัญเอกสารหนึ่งในปัจจุบัน รู้จักกันในชื่อ Edwin Smith Papyrus
จากการถอดตัวอักษร Edwin Smith Papyrus เป็นเอกสารทางการแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัด นับเป็นตำราเรียนที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงสภาพแม้ผ่านเวลามานานกว่า 3,600 ปี ตำรานี้ถูกสร้างขึ้นในราว ๆ 1600 ปีก่อนคริสตศักราช แต่การตรวจสอบอย่างละเอียดเผยให้เห็นว่าเอกสารนี้เป็นเพียงสำเนาของคัมภีร์ทางการแพทย์ซึ่งเก่ากว่า และถูกเขียนขึ้นเมื่อประมาณ 3,000-2500 ก่อนคริสตศักราชด้วยเหตุนี้เนื้อหาข้างในจึงมีใจความไม่สมบูรณ์ และถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ตำรา เอ็ดวิน สมิธ พาไพรัส ก็ถือเป็นเอกสารสำคัญเพราะแสดงให้เห็นว่าชาวอียิปต์โบราณมีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ และยาของมนุษย์มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจของชาวอียิปต์ต่ออาการบาดเจ็บซึ่งมีพื้นฐานมาจากกายวิภาคศาสตร์มากกว่าการใช้เวทมนตร์หรือยาสมุนไพร
Edwin Smith Papyrus มีคำอธิบายถึงกะโหลก, เยื่อหุ้มสมอง, พื้นผิวด้านนอกของสมอง, น้ำไขสันหลัง, และสมอง ซึ่งคำว่า “สมอง” นั้นไม่เคยปรากฏในในภาษาใด ๆ มาก่อน ดังนั้นชาวอียิปต์จึงเป็นผู้ที่ทราบถึงความสำคัญของอวัยวะนี้ และรู้ดีว่าความเสียหายของสมองบางส่วนอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดภาวะอัมพาต โดยตำรานี้ได้บันทึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งของการบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะและผลกระทบของร่างกายที่เกิดจากอาการบาดเจ็บนั้น รวมถึงการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังจะทำให้การทำงานของระบบประสาทแย่ลง
ด้วยเหตุนี้ตำราจึงแสดงให้เห็นว่าชาวอียิปต์มีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์อย่างไม่มีที่ติ มีการอธิบายถึงหัวใจ, เรือ, ตับ, ม้าม, ไต, มดลูก, กระเพาะปัสสาวะ หรือแม้กระทั่งสมองตำแหน่งไฮโปทาลามัส แม้ว่าการทำงานของระบบทางสรีรวิทยาบางส่วนยังเข้าไม่ถึง และไม่ได้ระบุเอาไว้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าเลือดในร่างกายไหลเวียนผ่านเส้นเลือดตั้งแต่สี่พันปีก่อนที่ William Harvey จะค้นพบระบบการไหลเวียน
(1339)