เมื่อเรานึกถึงอียิปต์โบราณเราอาจจินตนาการถึงทะเลแห่งปิรามิด เราเคยเห็นภาพยนตร์มากมายเกี่ยวกับมัมมี่และสุสานฟาโรห์และเรารู้ว่าชาวอียิปต์คิดค้นกระดาษ แต่ยังมีข้อเท็จจริงบางอย่างที่ครูไม่ได้บอกเราในโรงเรียน เช่น ความเชื่อแปลกๆ เกี่ยวกับการแต่งหน้า และปัญหาสุขภาพของชาวอียิปต์
- ลิปสติกของชาวอียิต์โบราณทำมาจากแมลงบด
กรดคาร์มินิคสีแดงที่สกัดจากครั่งแมลงขนาดเล็กถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการแต่งหน้า อย่างไรก็ตามผู้หญิงสมัยใหม่ไม่เหมือนกับคลีโอพัตรา ในปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องผลิตเครื่องสำอางโดยการต้มและบดขยี้แมลงอีต่อไปแล้ว
- ฟาโรห์ใช้ทาสเป็นเหยื่อล่อในการกำจัดแมลงวัน
ในสมัยปัจจุบันเราใช้สเปรย์ และครีมกำจัดแมลงวันที่รบกวนใจเรา แต่ในสมัยอียิปต์โบราณนั้นยังไม่มีนวัตกรรมเช่นนี้ King Pepi II จึงมีรับสั่งให้ทาสทาน้ำผึ้งลงบนตัวของตนเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อในการกำจัดแมลงวัน ดู ๆ ไปแล้วงานนี้ค่อนข้างเป็นงานที่ไม่พึงประสงค์นัก
- ผู้คนตกแต่งสุสานเหมือนบ้านและนำอาหารมาให้ที่นั่น
อย่างที่เรารู้กันชาวอียิปต์เชื่อ และให้ความสนใจกับชีวิตหลังความตายมาก พวกเขาเชื่อว่าหลังจากความตายคน ๆ หนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป และต้องการทุกสิ่งที่พวกเขามีดังนั้นหากมีคนตาย ก่อนที่พวกเขาจะทำมัมมี่ พวกเขาจะนำผลิตภัณฑ์ แต่งหน้า เครื่องใช้ อาหาร เครื่องดื่ม และแม้แต่สัตว์เลี้ยงกับทาสที่ชื่นชอบมาก ๆ มาไว้ในสุสาน
- ฟาโรห์ต้องทุกข์ทรมานจากโรคอ้วน
ในภาพวาดจำนวนมากจากชาวอียิปต์โบราณ เราจะเห็นผู้คนมีสุขภาพที่ดีและอุดมสมบูรณ์ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์เอ็กซ์เรย์มัมมี่และพบว่าภาพเหล่านี้อยู่ไกลจากความเป็นจริง และไม่ได้สุขภาพดีอย่างที่พวกเราเห็น: ชาวอียิปต์ที่ร่ำรวยโดยเฉพาะฟาโรห์นั้นอ้วน และไม่แข็งแรง เนื่องจากอาหารที่เป็นอันตราย อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมันอิ่มตัว และแอลกอฮอล์ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพได้
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทวารหนัก
ดังที่เราทราบกันดีว่าชาวอียิปต์มีศาสตร์ทางการแพทย์ที่ดีเยี่ยม เมื่อพิจารณาจากทรัพยากรทางประวัติศาสตร์ของพวกเขาในเวลานั้น มีผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ทางการแพทย์ในแต่ละด้าน เช่น ทันตแพทย์ จักษุแพทย์ และศัลยแพทย์ เป็นต้น แต่แพทย์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือศัลยแพทย์ทวารหนัก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าหากพิจารณาจากพฤติกรรมและวิถีชีวิตของฟาโรห์ คนชั้นสูงหรือคนร่ำรวยซึ่งจากลักษณะการรับประทานอาหารของพวกเขาต้องการ ชาวอียิปต์เหล่านี้ต้องการยาสวนหรือยาเหน็บ และถูกประดิษฐ์ขึ้นจริงในอียิปต์โบราณ ศัลยแพทย์ทวารหนัก บางคนยังเป็นทั้งทันตแพทย์ และผู้ดูแลสุขภาพทางโภชนาการโดยเฉพาะทางเดินอาหารของฟาโรห์อีกด้วย
- ผู้ชายใช้เครื่องสำอาง
ทั้งผู้หญิงและผู้ชายใช้เครื่องสำอางในอียิปต์โบราณ โดยพวกเขามีเหตุผล 3 ข้อในการใช้เครื่องสำอางค์เหล่านี้ ประการแรกคือการแต่งหน้าป้องกันผิวจากแสงแดด ประการที่สองพวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้ารา และฮอรัสจะมีน้ำใจอวยพรต่อผู้ที่แต่งหน้า และประการสุดท้ายการแต่งหน้าเชื่อกันว่าเป็นการรักษาโรค จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เราจะเห็นว่าอายไลเนอร์ในสมัยอียิปต์โบราณนั้นที่มีส่วนผสมของตะกั่วช่วยในการบรรเทาโรคเยื่อบุตาอักเสบ แต่น่าเสียดายที่ตะกั่วและปรอทส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
- เด็กชาวอียิปต์จะไม่สวมเสื้อผ้า จนกว่าพวกเขาจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
เด็กไม่สวมเสื้อผ้าจนกระทั่งอายุ 6 ขวบ เมื่อพวกเขาอายุหกขวบพวกเขาได้รับอนุญาตให้สวมใส่เสื้อผ้าเพื่อป้องกันแสงแดด และความร้อน แม้ว่าเด็ก ๆ จะไม่สวมเสื้อผ้าแต่พวกเขาก็สวมเครื่องประดับเช่นกำไล, กำไล, ปลอกคอ, และเครื่องประดับผม ในสไตล์เดียวกับพ่อแม่ของพวกเขา
- ชาวอียิปต์มีการทดลองแต่งงาน
ในอียิปต์โบราณการแต่งงานไม่มีเอกสารยืนยันใด ๆ เพียงแค่ทั้งคู่เริ่มมีชีวิตอยู่ด้วยกัน อย่างไรก็ตามคู่รักที่มีฐานะร่ำรวยมักจะร่างสัญญาโดยสรุปผลทางการเงินหากเกิดการหย่าร้าง จึงสามารถแยกจากกันหรือทดลองอยู่ด้วยกันไปก่อนก็ได้
- ผู้ชายส่วนใหญ่มีประจำเดือน
ชาวอียิปต์เชื่อว่าผู้ชายก็มีประจำเดือน ถ้าผู้ชายไม่มีเลือดในปัสสาวะแสดงว่าป่วย แต่ทว่าในความจริงแล้วนั้นชาวอียิปต์ส่วนใหญ่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคพยาธิใบไม้ในเลือด ซึ่งเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจาก หนอนพยาธิ ชนิด ชิสโตโซมา เป็นตัวที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ในทางเดินปัสสาวะหรือลำไส้ อาการที่อาจจะมี ได้แก่ ปวดท้อง ท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือดหรือมีเลือดปนใน ปัสสาวะ สำหรับผู้ที่ได้ติดเชื้อมาเป็นเวลานาน อาจเกิดภาวะตับเสีย ไตวาย ภาวะเป็นหมัน หรือ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ได้ สำหรับเด็ก โรคดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการเจริญเติบโตช้าและความลำบากในการเรียนรู้
- รูปแบบการไต่สวนในศาล
แม้อียิปต์โบราณจะมีระบบกฎหมายที่พัฒนามาอย่างดี แต่ก็มีกฎที่ระบุไว้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ และเพื่อตรวจสอบความจริงนั้นจำเลยหรือผู้ถูกกล่าวหาจะถูกทรมานเพื่อเค้นความจริง โดยที่จำเลยไม่อาจเรียกร้องหรือมีทนายความใด ๆ ได้
- รูปปั้นถูกใช้ในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับจำเลย
ตั้งแต่ 1,069 ปีก่อนคริสตศักราชไปจนถึงปีค.ศ. 1550 นักบวชในอียิปต์เริ่มแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และเมื่อผู้พิพากษาพบว่าการตัดสินใจคดีนั้นเป็นเรื่องยากหรือซับซ้อน เช่น ความผิดทางศีลธรรมที่ไม่ถูกระบุไว้ในกฎหมายอย่างชัดแจ้ง ผู้พิพากษาจะขอให้รูปปั้นเทพเจ้าช่วยตัดสินใจให้ ซึ่งอันที่จริงแล้ว นักบวชเป็นผู้ชักใยการเคลื่อนไหวของรูปปั้นอยู่เบื้องหลัง และในบางครั้งอาจมีการติดสินบนกับนักบวชเหล่านี้ด้วย
- ภัยพิบัติจากแมลงที่ชาวอียิปต์ไม่อาจหนีพ้น
ในสมัยนั้นมีแมลงหลากหลายสายพันธุ์คุกคามจำนวนมาก เช่น แมลงวัน เหา หมัด เรือด ยุง และตั๊กแตน ทำให้คุณภาพชีวิตของชาวอียิปต์ค่อนข้างแย่ ผู้คนพยายามต่อสู้กับเหล่าแมลงด้วยน้ำมัน และผงสมุนไพร รวมทั้งวิธีกำจัดเหาด้วยการโกนหัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีแก้ปัญหาถ้าหากตั๊กแตนฝูงใหญ่บุกมาทำลายพืชทั้งหมดและสร้างผลกระทบต่อพืชผลให้คนหลายพันคน
- คนแคระได้รับเอกสิทธิ์
ในอียิปต์โบราณคนแคระได้รับการยกย่องว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้า ดังนั้นคนแคระจึงได้รับสิทธิพิเศษมากมาย พวกเขาสามารถดำรงตำแหน่งสูง ๆ ในที่ทำงาน หรือเป็นผู้ช่วย ผู้ดูแลอัญมณี หรือผู้ดูแลส่วนตัวให้กับราชวงศ์ได้
- ชาวอียิปต์มีผลิตภัณฑ์ในการดับกลิ่นกาย
ด้วนสภาพภูมิอากาศร้อน และการทำงานหนักทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งชาวอียิปต์มีวิธีแปลก ๆ 2 วิธีในการจัดการกับปัญหานี้: อันดับแรกพวกเขาโกนหัวเป็นประจำเพราะเชื่อว่าเป็นผมเป็นสาเหตุของกลิ่นเหม็น และประการที่สองพวกเขาใช้น้ำยาดับกลิ่นที่มีส่วนผสมต่าง ๆ เช่น สน, อบเชย, ส้ม, ดอกไม้ หรือแม้แต่ไข่นกกระจอกเทศ โดยการสร้างลูกบอล และเก็บไว้ในรักแร้ โดยให้วัสดุกลิ่นแรงนี้สามารถซ่อนกลิ่นตัวได้ในระยะเวลาหนึ่ง
- ผู้ชายมักล่วงละเมิดผู้หญิงตามท้องถนน
ตามที่เฮโรโดตุสกล่าว ในอียิปต์โบราณผู้ชายดึงดูดความสนใจผู้หญิงด้วยการผิวปากกระเซ้าด้วยคำที่ค่อนข้างหยาบคาย โดยเขาอธิบายถึงคนที่อยู่ในเรือที่กำลังเดินทางไปพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นในพระวิหาร พวกเขาจะถอดเสื้อผ้าและส่งเสียงโหวกเหวกในการล่วงละเมิด ซึ่งไม่มีการลงโทษสำหรับการล่วงละเมิดนี้
หากใครเป็นคอนิยายโรแมนติกที่นางเอกได้พบรักกับฟาโรห์หนุ่มรูปงาม หรือวาดภาพสวยหรูเกี่ยวกับวิถีชีวิตแบบชาวอียิปต์โบราณอย่างที่เราคุ้นเคยกันตามสื่อต่างๆ อาจฝันสลายได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของสังคมที่มีมาไม่ว่าจะกี่ยุคสมัยได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
(15472)