ท่ามกลางประติมากรรมเก่าแก่มากมายที่ถูกค้นพบในโลกปัจจุบัน เช่น รูปปั้นแกะสลัก Lion-man ที่ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1939 ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมัน จากการได้ตรวจสอบทำให้เราได้รู้ว่า รูปปั้นแกะสลัก Lion-man มีอายุอยู่ระหว่างราวๆ 35,000 – 40,000 ปีก่อนยุคประวัติศสาตร์หรืออาจจะคาบเกี่ยวกันระหว่างยุคก่อนหรือหลังที่เริ่มมีการจดบันทึกประวัติศาสตร์ ส่วนประติมากรรมแบบอื่นๆ ที่โดดเด่นมาจากช่วงยุคก่อนประวัติศสาตร์เหมือนกันก็คือประติมากรรมวีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ ประติมากรรมขนาด 4.4 นิ้ว เป็นงานแกะสลักรูปเรือนร่างของผู้หญิง ถูกขุดค้นพบที่ถ้ำแห่งหนึ่งในประเทศออสเตรีย มีการประมาณอายุคร่าวๆของประติมากรรมชิ้นนี้ว่าน่าจะมีอายุอยู่ในช่วง 24,000 – 22,000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ และนอกจากนี้ยังมีประติมากรรมในช่วงแรกเริ่มอย่างมหาสฟิงซ์ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นประติมากรรมอันยิ่งใหญ่จากยุคอียิปต์โบราณ
ในขณะที่ยุคกรีกและโรมันเก่าประติมากรรมส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นรูปสลักที่แสดงถึงการเคารพต่อเทพเจ้าหรือไว้เพื่อเชิดชูเกียรติยศต่อพระมหากษัตริย์ของพวกเขา เช่นประติมากรรมแกะสลักเทพีวีนัสหรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า วีนัส เดอมิโล รูปปั้นแกะสลักร่างของเทพีสาวแห่งกรีก ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความสวยงาม ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าผลงานประติมากรรมชิ้นนี้ จะเป็นงานประติมากรรมที่โด่งดังที่สุดในยุคกรีกโบราณ ในช่วงการปกครองของจักรพรรดิคอนสตันไทน์มหาราช คริสตศาสนาในยุคนั้นเริ่มมีการปรับเปลี่ยนการสักการะบูชาเทพหรือเทพีที่เป็นจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ และในเวลานั้นทางประเทศแถบยุโรปก็เริ่มสร้างประติมากรรมที่มาจากตัวละครและเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมา ท่ามจำนวนผลงานแกะสลักที่โดดเด่นอย่างรูปปั้นเดวิด ก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากศิลปินมากฝีมือในยุคเรอเนซองส์ที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่างโดนาเตลโล และไมเคิลแองเจโล แล้วยังมีผลงานประติมากรรมที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้นอีกชิ้นหนึ่งคือ The Thinker ที่ถูกสร้างโดยศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อว่า โอกุสต์ รอแด็ง และตอนนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ 10 ประติมากรรมที่โด่งดังที่สุดในโลกกัน
เริ่มจากอันดับที่ 10 ECSTASY OF SAINT TERESA
สถานที่ : โบสถ์ซันตามาเรียเดลลาวิตโตเรีย, กรุงโรม, ประเทศอิตาลี (Santa Maria della Vittoria, Rome, Italy)
ประติมากร : จีอันโลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini).
ปี : 1652
นักบุญเทเรซ่า แห่งอาวีลา นักบุญเทเรซ่าเธอเป็นแม่ชีที่มาจากประเทศสเปน เธออ้างว่าได้รับประสบการณ์ความรู้สึกและความรักจากพระผู้เป็นเจ้าจนเข้าถึงจิตวิญญาณของเธอ เธอบรรยายความรู้สึกที่เธอได้พบนี้ลงในบันทึกของเธอ เมื่อปีค.ศ. 1622 และอีกสี่สิบปีหลังจากที่เธอได้เสียชีวิตลง สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 15 ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการให้เธอได้เป็นนักบุญเทเรซ่า แห่งอาวีลา ประติมากรรมชิ้นนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาจากหนึ่งในบันทึกที่เขียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณในชีวิตของเธอ ท่าทางของรูปปั้นแกะสลักนั้น เราจะเห็นได้ว่าในมือของเทวดากำลังถือหอกด้ามหนึ่งที่ปลายแหลมทิ่มลง เทวดาหนุ่มแทงหอกลึกลงไปตรงหัวใจของเธอ จากท่าทางในประติมากรรมนั้นได้เหมือนกับว่าเขาได้ส่งให้เธอได้เข้าถึงจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ จีอันโลเรนโซ แบร์นินีคือประติมากรเอกแห่งยุคบาโรค Ecstasy of Saint Teresa ถือเป็นผลงานมาสเตอร์พีชของเขา โดยเขาได้จัดองค์ประกอบให้งานแกะสลักนี้มีท่าทางคล้ายกับการแสดงละครเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านออกมาจากผลงานชิ้นนี้ ซึ่งงานชิ้นนี้ถือเป็นผลงานที่ยากต่อการนำมาลอกเลียนแบบขึ้นใหม่สำหรับประติมากรคนอื่นๆ เพราะความละเอียดอ่อนที่แบร์นินีบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาก็ทำให้ยากต่อการเลียนแบบ
อันดับที่ 9. PIETA
สถานที่ : มหาวิหารนักบุญเปโตร, กรุงวาติกัน, ประเทศอิตาลี (St. Peter’s Basilica, Vatican City)
ประติมากร : ไมเคิลแองเจโล
ปี : 1499ไมเคิลแองเจโลเป็นศิลปินประติมากรที่อยู่ในช่วงยุคเรเนซองส์ เขาเป็นผู้มีอิทธิพลตลอดการในฐานะประติมากรผู้มากฝีมือ เขาใช้เวลาแกะสลักและแก้ไขรูปปั้นปีเอต้าเพียงแค่ 24 ครั้ง เท่านั้นผลงานก็สำเร็จลุล่วงผ่านไปได้ด้วยดี ก่อนที่รูปปั้นแกะสลักปิเอต้าจะกลายมาเป็นผลงานมาสเตอร์พีสอันทรงคุณค่าให้แก่โลกใบนี้ ปีเอต้าถือเป็นศิลปะคริสตศาสนาชิ้นหนึ่ง ไมเคิลแองเจโลสร้างรูปแกะสลักนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงภาพของพระแม่มารีกำลังอุ้มร่างของพระเยซูคริสต์เอาบนตักของเธอเอง หลังจากที่เขาโดนตรึงไม้กางเขนแล้ว ปิเอต้าจึงได้กลายเป็นผลงานที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของศิลปะภาพวาดภาพเขียนและประติมากรรมของยุโรปในยุคนั้น ในระหว่างที่กำลังทำงานให้เสร็จนั้น เขาได้ออกแบบให้พระแม่มารียังเป็นเพียงหญิงสาวที่มีลูกชายวัยเพียงแค่ 33 ปีเท่านั้น เขาได้พยายามที่จะแสดงออกให้เห็นถึงสัญลักษณ์ความบริสุทธิ์ผ่านพระแม่มารีที่ยังคงความเยาว์วัยเป็นสาวบริสุทธิ์เอาไว้ ปิเอต้าเป็นผลงานชิ้นเดียวที่ไมเคิลแองเจโลได้เซ็นลายเซ็นต์ของเขาเอาไว้ โดยลายเซ็นต์ของเขาสามารถสังเกตุเห็นได้แถวๆช่วงอกของพระแม่มารี
อันดับที่ 8. รูปปั้นเดวิด (THE BRONZE DAVID)
สถานที่ : พิพิธภัณธ์แห่งชาติบาร์เจลโล่, เมืองฟลอเรนซ์, ประเทศอิตาลี (Bargello Museum, Florence, Italy)
ประติมากร : โดนาเตลโล (Donatello)
ปี : 1440
รูปปั้นเงินเดวิดเป็นที่รู้จักจากการเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ที่ยืนโดยไม่มีเสื้อผ้ามาปกปิดเรือนร่างซึ่งถือว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับคนยุคเก่าในตอนนั้น ผลงานชิ้นนี้เล่าเรื่องถึงเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าเดวิด ซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างเดวิดกับยักษ์โกไลแอธ เขาถือดาบไว้ในมือข้างหนึ่งหลังจากที่เขาสามารถเอาชนะศัตรูของเขาได้และวางเท้าของเขาเอาไว้บนหัวที่ถูกตัดลงมาของยักษ์โกไลแอธ โดนาเตลโลออกแบบให้เดวิดเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้เดวิดสวมใส่หมวกทรงกว้างและรองเท้าบู๊ต รูปปั้นเดวิดมีสัดส่วนที่ขัดแย้งกับดาบในมือของเขา ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นการชี้ให้เห็นถึงว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าที่ทำให้เขาสามารถทำภารกิจที่ยากลำบากนี้ผ่านลุล่วงได้ โดนาเตลโลถือเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นบิดาแห่งยุคเรเนอซองส์อีกคนหนึ่ง เขาเป็นผู้นำคนหนึ่งในฐานะประติมากรรุ่นแรกๆของยุค
อันดับที่ 7. มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่า (The Great Sphinx of Giza)
สถานที่ : พีระมิดคาเฟร, เมืองกิซ่า, ประเทศอียิปต์ (Giza Plateau, Giza, Egypt)
ประติมากร : ไม่ทราบชื่อ
ปี : ไม่สามารถระบุได้
หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่าสร้างมาจากหินปูนขนาดใหญ่ มหาสฟิงซ์เป็นการออกแบบที่ผสมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ คือมีหัวเป็นคนและมีลำตัวเป็นสิงโต มีความยาวอยู่ที่ 73 เมตร ตั้งแต่อุ้งเท้าหน้าไปจนสุดปลายหาง สูง 20 เมตร ตั้งแต่ฐานถึงหัวส่วนบนของสฟิงซ์ และส่วนบั้นท้ายที่กว้างถึง 19 เมตร มหาสฟิงซ์เป็นอนุสรณ์สถานที่รู้จักกันดีในงานประติมากรรมของอียิปต์จวบจนมาถึงศตวรรษนี้มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่าก็ยังถือเป็นประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นมหาสฟิงซ์ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักเพียงเพราะเป็นอนุสรณ์สถานที่มีความสำคัญที่สุดในโลกเท่านั้น ทางด้านนักวิชาการยังไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่ามหาสฟิงซ์นั้นถูกสร้างมาเพื่อใครและสร้างขึ้นเมื่อไหร่ได้ จุดชมวิวที่เป็นที่นิยมที่สุดในการได้มองมหาสฟิงซ์ มุมยอดนิยมที่สุดคือมุมที่มีมหาสฟิงซ์กับพิรามิดคาเฟรหรือด้านหน้าหลุมศพฟาโรห์คาเฟร ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 4 แห่งอียิปต์
อันดับที่ 6. กริชตูเรเดงโตร์ พระคริสต์ผู้ไถ่ (CHRIST THE REDEEMER)
สถานที่ : ยอดเขากอร์โกวาดู, เมืองริโอ เด จาเนโร, ประเทศบราซิล (Corcovado mountain, Rio de Janeiro, Brazil)
ประติมากร : ปอล ลันดอฟสกี (Paul Landowski)
ปี : 1931ในค.ศ. 1921 โบสถ์คาทอลิกที่เปรียบเสมือนโลหิตหมุนเวียนแห่งเมืองริโอ เด จาเนโร มีจุดประสงค์ที่จะสร้างอนุสรณ์สถานแห่งเยซูคริสต์ไว้ที่ยอดเขากอร์โกวาดู โดยมีความสูงที่ 704 เมตร เพื่อที่จะให้อนุสรณ์สถานแห่งพระเยซูคริสต์สามารถมองเห็นได้ทั่วทิศจากเมืองริโอ เด จาเนโร วิศวกรชาวบราซิล Heitor da Silva Costa ถูกเลือกให้เป็นผู้ออกแบบอนุสรณ์สถานแห่งนี้ ในขณะที่ประติมากรชาวฝรั่งเศส ปอล ลันดอฟสกีเป็นผู้ลงมือสร้าง Silva Costa ได้ร่วมทำงานออกแบบกับวิศกรชาวฝรั่งเศส Albert Caquot ในขณะที่ประติมากรชาวโรมาเนีย Gheorghe Leonida เป็นผู้ออกแบบใบหน้าของกริชตูเรเดงโตร์ อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างเสร็จในปีค.ศ. 1931 โดยมีความสูงเฉพาะรูปปั้นที่ 30 เมตร ส่วนฐานมีความสูงที่ 8 เมตร และความยาวจากแขนทั้งสองข้างที่แยกออกได้รวมกันยาว 28 เมตร ประติมากรรมพระคริสต์หผู้ไถ่กลายเป็นสัญลักษณ์ของชาวคริสต์เตียนทั่วโลก และยังกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมประจำเมืองริโอ เด จาเนโรและประเทศบราซิล อนุสรณ์สถานแห่งนี้ยังถูกโหวตให้เป็นหนึ่งในเด็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วยผลโหวตกว่าหนึ่งร้อยล้านโหวต
อันดับที่ 5. แมนเนเกน พิส เด็กชายกำลังปัสสาวะ (MANNEKEN PIS)
สถานที่ : พิพิธภัณฑ์แห่งกรุงบรัซเซลส์, กรุงบรัซเซลส์, ประเทศเบลเยี่ยม Museum of the City of Brussels, Belgium
ประติมากร : เจอโรม ดูเกสนอย Jerome Duquesnoy
ปี : 1619ชื่อของประติมากรรมชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘เด็กชายกำลังปัสสาวะ’ หรือ ‘เด็กยืนฉี่’ เป็นประติมากรรมเงินหล่อขนาดเล็ก หล่อเป็นรูปเด็กชายเปลือยที่กำลังยืนปัสสาวะใส่อ่างน้ำพุ ประติมากรรมชิ้นนี้ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองบรัซเซลส์ ประติมากรรมเด็กชายกำลังยืนปัสสาวะนี้ได้ถูกพิจารณาให้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองบรัซเซลส์ และเริ่มได้รับความสำคัญเมื่อปลายยุคศตวรรษที่ 17 ก่อนจะค่อยๆเพิ่มความนิยมขึ้นมาเรื่อยๆ ปัจจุบันรูปหล่อเงินของเด็กชายกำลังปัสสาวะได้ถูกลอกเลียนขึ้นใหม่ในปี 1965 ส่วนของจริงนั้นตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งกรุงบรัซเซลส์
อันดับที่ 4. คนครุ่นคิด (รอแด็ง) (THE THINKER)
สถานที่ : พิพิธภัณฑ์รอแด็ง, กรุงปารีส, ประเทสฝรั่งเศส Musee Rodin, Paris, France
ประติมากร : โอกุสต์ รอแด็ง Auguste Rodin
ปี : 1904โอกุสต์ รอแด็งเป็นประติมากรชาวฝรั่งเศส เขาเปรียบเสมือนบิดาแห่งยุคโมเดิรน์ของประติมากรรม เดิมทีรอแด็งมีชื่อเสียงมาจากการสร้างรูปปั้นจำลอง จนกระทั่งในปีค.ศ. 1880 รอแด็งได้รับการว่าจ้างจากผู้อำนวยการวิจิตรศิลป์ให้สร้างประติมากรรมที่ชื่อว่า ‘ประตูนรก’ ขึ้นมา ซึ่งเป็นฉากหนึ่งของไตรภูมิดันเต และต่อมาได้รับการว่าจ้างจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะตกแต่งให้สร้างประติมากรรมบรอนซ์ชื่อว่า ‘คนครุ่นคิด’ (THE THINKER) โดยได้รับแรงบัลดาลใจจากไตรภูมิดันเตเช่นเคย ในช่วงขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ประติมากรรมคนครุ่นคิดได้ถูกหล่อขึ้นมาหลากหลายขนาดจนกระทั่งเขาได้เสียชีวิตลงแล้วก็ตาม จนเมื่อประติมากรรมรูปคนครุ่นคิดขนาดความสูง 1.8 เมตร ได้เปิดเผยสู่สายตาประชาชน มันก็กลายเป็นที่นิยมทันที ประติมากรรมชิ้นนี้ถูกเปิดเผยในปีค.ศ. 1904 ถูกจัดให้นั่งอยู่ในสวนของพิพิธภัณฑ์รอแด็ง ประติมากรรมคนครุ่นคิดมีชื่อเรียกเดิมว่า ‘กวี’ และมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งปรัชญาอีกด้วย
อันดับที่ 3. วีนัส เดอมิโล (VENUS DE MILO)
สถานที่ : พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์, กรุงปารีส, ประเทศฝรั่งเศส (Louvre Museum, Paris, France)
ประติมากร : สันนิฐานว่าเป็น Alexandros of Antioch ประติมากรชาวกรีก
ปี : อยู่ระหว่าง 130 – 100 ปีก่อนคริสต์ศักราชเป็นที่เชื่อกันว่ารูปปั้นวีนัส เดอมิโลถูกค้นพบเมื่อวันที่ 8 เมษายน ปีค.ศ. 1820 โดยเกษตรกรที่มีชื่อว่า Yorgos Kentrotas เขาได้ค้นพพชิ้นส่วนของรูปปั้นวีนัสแถวๆเกาะภูเขาไฟมิลอส ประติมากรรมชิ้นนี้ได้ถูกยกให้เป็นของขวัญแก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แห่งฝรั่งเศส ก่อนจะถูกมอบให้กับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ต่อไป ก่อนที่จะจัดแสดงอย่างในทุกวันนี้ วีนัส เดอมิโลได้ถูกขนานนามว่าเป็นแอโฟรไดท์แห่งมิลอส วีนัส เดอมิโลคิดว่าเป็นตัวแทนของเทพีแอมโฟรไดท์ ผู้ซึ่งเป็นเทพีกรีกโบราณแห่งความรัก เทพีแห่งความสุข และเทพีแห่งผู้ให้กำเนิด ซึ่งในขณะเดียวกันเทพีแอมโฟรไดท์แห่งโรมันก็มีความคล้ายคลึงกันกับเทพีวีนัสแห่งกรีกเช่นเดียวกัน มีความเชื่อว่ารูปปั้นนี้ถูกปั้นโดย Alexandros of Antioch ประติมากรในยุคสมัยสมัยเฮลเลนิสต์ รูปปั้นมีส่วนที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ทุกวันนี้คือแขนที่หายไปทั้งสองข้างของวีนัส เดอมิโล และมีการเล่าต่อกันมาว่าเดิมทีรูปปั้นวีนัส เดอมิโลนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย เช่น สร้อยข้อมือ, ต่างหู และผ้าคาดศีรษะ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ได้หายสาปสูญไปเป็นเวลานานแล้ว รูปปั้นวีนัส เดอมิโลมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นรูปปั้นที่โด่งดังและโดดเด่นที่สุดในยุคประติมากรรมกรีกโบราณ
อันดับที่ 2. ดาวิด (มีเกลันเจโล) DAVID
สถานที่ : Accademia Gallery, Florence, Italy
ประติมากร : ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)
ปี : 1504ในปี 1504 รัฐบาลแห่งเมืองฟลอเรนซ์ได้มีการว่าจ้างให้ไมเคิลแองเจโลให้สร้างรูปปั้นเพื่อที่จะให้เป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งขอบโดมของอาสนวิหารฟลอเรนซ์ อย่างไรก็ตามลังจากที่งานนี้เสร็จสิ้นลง พวกเขาต่างตกตะลึงในความงดงามของรูปปั้นนี้จนมีการตัดสินใจว่า จะให้วางผลงานประติมากรรมชิ้นนี้ไว้ที่จัสตุรัสหน้าประตูทางเข้าพระราชวัง Palazzo Vecchioแทน ใกล้กับศาลากลางเมืองฟลอเรนซ์ รูปปั้นแกะสลักหินอ่อนนี้ถูกเคลื่อนย้ายในปี 1873 โดยมีความประสงค์ที่จะให้ย้ายไปอยู่ที่ Gallery of the Academy ซึ่งเป็นหอศิลป์ในเมืองฟลอเรนซ์ โดยมีการสร้างรูปปั้นจำลองขึ้นมาวางไว้ที่เดิมที่รูปปั้นเคยอยู่ในปี 1910 ดาวิด (มีเกลันเจโล) ถูกมักจะถูกใช้สื่อเป็นสัญลักษณ์ของดาวิดผู้กล้าหาญในตำนานของคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยเป็นฉากที่หลังจากดาวิดได้พิชิตยักษ์โกไลแอธได้ แต่ก่อนที่เขาจะสามารถเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้ แต่ผลงานรูปปั้นแกะสลักหินอ่อนดาวิดของไมเคิลแองเจโลชิ้นนี้มีความแตกต่างที่ไม่เหมือนงานในยุคเรเนอซองส์ของศิลปินอื่น เพราะเขาได้สร้างดาวิดเป็นเด็กหนุ่มผู้มีความกังวลก่อนการต่อสู้กับยักษ์โกไลแอธ ในขณะที่ศิลปินอื่นมักจะสื่อภาพหลังจากดาวิดพิชิตยักษ์โกไลแอธได้แล้ว ผลงานมาสเตอร์พีชของไมเคิลแองเจโลชิ้นนี้เขาแสดงให้เห็นถึงความเสมือนจริงโดยการเติมคิ้วบนใบหน้าของดาวิดและช่วงคอของเขาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดนูนออกมาลงไปจนถึงมือขวาของเขาที่เกร็งแน่น ดาวิดถือเป็นประติมากรรมที่โด่งดังที่สุดและอาจจะเป็นผลงานประติมากรรมที่ดีที่สุดในโลกตลอดไป นี่คือหนึ่งในผลงานแห่งศิลปะที่ควรค่าแก่การรับรู้ที่สุดบนโลกใบนี้
อันดับ 1. เทพีแห่งเสรีภาพ (STATUE OF LIBERTY)
สถานที่ : เกาะลิเบอร์ตี, แมนแฮตตัน, นิวยอรก์, ประเทศสหรัฐอเมริกา Liberty Island, Manhattan, New York City, New York, U.S.
ประติมากร : เฟรเดริก โอกุสต์ บาร์โทลดี (Frederic Auguste Bartholdi)
ปี : 1886เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมที่แสดงออกถึงแนวคิดของเสรีภาพ เดิมทีเทพีเสรีภาพนี้เป็นสัญลักษณ์การแสดงออกถึงการมีเสรีภาพของฝรั่งเศสที่ส่งต่อถึงสหรัฐอเมริกา หรือรู้จักกันโดยทั่วไปว่าเทพีเสรีภาพเป็นของขวัญที่ฝรั่งเศสมอบให้กับสหรัฐอเมริกา เพื่อยกย่องชาวอเมริกันที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตนเองจนสามารถเอาชนะอังกฤษที่กดขี่ชาวอเมริกันในขณะนั้นได้ เทพีเสรีภาพถูกออกแบบโดยประติมากรชาวฝรั่งเศส เฟรเดริก โอกุสต์ บาร์โทลดีส่วนโครงร่างเหล็กถูกออกแบบโดยวิศกรชาวฝรั่งเศสกุสตาฟ ไอเฟลเจ้าของผลงานออกแบบหอไอเฟลที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสจนถึงทุกวันนี้ รูปปั้นเทพีเสรีภาพถูกออกแบบและดัดแปลงมาจากตัวละครในเทพนิยายโรมัน โดยเทพีเสรีภาพนั้นมือข้างขวาของเธอจะถือชูคบไฟเอาไว้เหนือหัวในขณะที่มือข้างขวาจะถือแผ่นจารึกที่สลักเป็นอักษรโรมัน โดยสลักถึงวันที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศตนเป็นอิสรภาพ เทพีเสรีภาพได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา และยังกลายเป็นสัญลักษณ์สากลที่แสดงถึงความมีเสรีภาพอีกด้วย โดยผลงานชิ้นนี้ได้ถูกอธิบายไว้เป็นประโยคสั้นๆว่า ‘มาสเตอร์พีชแห่งจิตวิญญาณมนุษยชาติ’ และได้รับการยกย่องจากองค์กรยูเนสโก้ตั้งแต่ปี 1984 เพราะแบบนั้นเทพีเสรีภาพจึงได้กลายเป็นผลงานประติมากรรมที่โด่งดังที่สุดในโลก
(330317)