การขับรถขณะฝนตกเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เรามีวิธีขับรถอย่างไรให้ปลอดภัย

ฤดูฝนเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมากกว่าฤดูอื่นๆ เนื่องจากถนนเปียกลื่นกว่าปกติ  และทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในช่วงฤดูฝน เรามีวิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนมาฝากกัน

ตัวแปรหลักที่เกี่ยวข้องได้แก่

  1. การขับเคลื่อนของรถ เกิดจากแรงปฏิกิริยาของผิวแรงเสียดทานของถนนกับยาง
  2. น้ำมีแรงตึงระหว่างโมเลกุล และแรงตึงผิวก็น้อยมาก เมื่อไปแซกอยูระหว่างถนนกับยางทำให้สัมประสิทธฺ์ แรงเสียดทานของยางกับถนนลดลง
  3. สสารเคลื่อนจากจุดที่มีพลังงานสูงไปยังจุดที่มีพลังงานต่ำ ในกรณีของน้ำ คือไหลจากที่สูลงที่ต่ำกว่า
  4. ถนน ทางโค้ง จะมีมุมเอียงของผิวถนนลงสู่ด้านในของทางโค้ง
  5.  ถนนใดจะมีระบบระบายน้ำออกจาผิวถนน โดยจะมีมุมเอียงลงเพื่อให้น้ำไหลออก

การขับรถในช่วงฝนตก

ฝนที่ตกในช่วงแรกจะทำให้ถนนลื่นที่สุด ฝนที่ตกในช่วงแรกจะทำให้การขับขี่ยากที่สุดเพราะ โคลน และ น้ำมันที่อยู่บนพื้นผิวจะรวมตัวกับน้ำฝน กลายเป็นชั้นผิวลื่นๆบนพื้นถนน ดังนั้นคุณต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างมากในช่วงที่ฝนตก

เปิดใบปัดน้ำฝน  โดยปรับระดับความเร็วของใบปัดน้ำฝน ให้สัมพันธ์กับความแรงและปริมาณฝนที่ตกลงมา

การใช้น้ำฉีดกระจก ในช่วงที่ฝนเริ่มตก น้ำที่กระเด็นจากการดีดจะมีลักษณะเหนียวคล้ายโคลน ในกรณีนี้  แม้จะใช้เปิดก้านปัดน้ำฝนปัดก็ไม่สามารถปัดออกได้หมด  จึงควรใช้น้ำฉีดกระจกช่วยชะล้างคราบโคลนเหล่านี้ แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ไม่ควรฉีดน้ำในขณะที่ขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้ชัดเจน

หากฝนตกหนัก ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉิน  ในกรณีที่ฝนตกหนัก ไม่สมควรที่จะเปิดไฟฉุกเฉิน เนื่องจากไฟฉุกเฉินมีไว้เพื่อกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และจะทำให้แยกไม่ออกหากมีรถที่ได้รับอุบัติเหตุเปิดไฟฉุกเฉินและจอดที่ข้างทาง รวมทั้งจะไม่สามารถให้สัญญาณเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจากการที่รถที่ตามมาด้านหลังคาดเดาทิศทางของรถไม่ได้

เปิดไฟหน้า-หลังรถ  เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงที่ฝนตกหนักมักมืดครึ้มคล้ายช่วงหัวค่ำ ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน การเปิดไฟหน้า-หลังรถนอกจากจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ผู้ขับขี่รถคันอื่นเห็นรถของเราได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย

ลดความเร็ว จากการศึกษาพบว่า ช่วงที่ฝนเริ่มตกใน 10 นาทีแรก เป็นช่วงที่รถมีโอกาสลื่นไถลมากที่สุด เพราะน้ำฝนจะชะล้างคราบดินและฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนพื้นถนนซึ่งมีลักษณะคล้ายการละเลงโคลน ดังนั้น การลดความเร็วของรถ จึงเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งระดับความเร็วที่ทำให้รถไม่เกิดการลื่นไถล คือ 60 ก.ม./ช.ม.

ไม่ขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป เพราะสภาพถนนที่เปียกลื่น ทำให้ต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถเพิ่มขึ้น ผู้ขับขี่ ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าการขับขี่ในช่วงปกติ 10-15 เมตร เพื่อให้สามารถหยุดรถได้ทัน

หากขณะขับรถแล้วรถลื่นไถลหรือเหินน้ำ ห้ามเหยียบเบรกจนล้อหยุดหมุนในทันที เพราะจะทำให้รถพลิกคว่ำได้ ให้แก้ไขด้วยการถอนคันเร่ง ควบคุมพวงมาลัยให้มั่นคงแล้วพยายามลดความเร็วโดยใช้เกียร์ต่ำจนกว่ารถจะ ทรงตัวได้ แล้วจึงค่อยเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ

การขับรถผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง  ผู้ขับขี่ควรหยุดประเมินสถานการณ์ และขับรถผ่านถนนในบริเวณที่มีน้ำท่วมขังน้อยที่สุดและระมัดระวังในการขับผ่านถนนที่มีลักษณะนูนเป็นหลังเต่า  เพราะหากขับรถเบี่ยงออกนอกเส้นทาง   อาจทำให้รถจมน้ำได้ ขับรถโดยใช้เกียร์ 1 เร่งเครื่องให้รอบสูงแล้วเหยียบคลัทช์ เพื่อให้ความเร็วต่ำ แต่อย่าให้รอบต่ำ จะทำให้เครื่องดับกลางน้ำได้  ไม่ขับรถเร็วเกินไป เพราะจะทำให้มีน้ำกระเด็นเข้าเครื่องยนต์  อีกทั้งระวังน้ำที่อาจกระเด็นจากรถคันอื่นเข้าไปในห้องเครื่อง เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ดับหรือรถลอยซึ่งจะทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น หากมีน้ำท่วมสูง อย่าขับรถลุยน้ำโดยเด็ดขาด เพราะรถอาจถูกพัดไปตามกระแสน้ำได้

เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในช่วงฝนตก  ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบสภาพยาง ใบปัดน้ำฝน ระบบสัญญาณไฟให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี และหมั่นเติมน้ำในกระปุกฉีดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ  อีกทั้งเลือกใช้ยางที่มีดอกยางละเอียด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและหยุดรถ  ตลอดจนเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่มากกว่าปกติ ไม่ขับรถด้วยความเร็วสูง และเว้นระยะห่างจากรถคันอื่นให้มากกว่าปกติ

ทำให้เบรกแห้งหลังจากลุยน้ำด้วยการแตะเบรคเบาๆ เพื่อให้ผ้าเบรคแห้ง หลังจากลุยน้ำหรือแอ่งน้ำ.

อย่าขับรถขณะอ่อนล้า หยุดพักทุกๆ 2-3 ชั่วโมง หรือ ทุกๆ 100 กิโลเมตร เพื่อบรรเทาความเมื่อยล้า.

(3294)